พุยพุย

หน่วยที่ 3



คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์

1.   ประวัติของคอมพิวเตอร์
                เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในปัจจุบัน  เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องมาหลายร้อยปี  เริ่มจากการสร้างอุปกรณ์ที่ไม่มีกลไกซับซ้อน  จนกลายมาเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์มีศักยภาพสูงที่นำมาใช้งานในชีวิตประจำวันในขณะนี้  เพื่อนำมาช่วยทำงานด้านการคำนวณประมวลผล และสามารถนำไปใช้ในการควบคุมการผลิตงานทางด้านอุตสาหกรรมในโรงงานต่าง ๆ
                    อุปกรณ์ชิ้นแรกซึ่งเป็นที่มาของคอมพิวเตอร์เริ่มจากการคิดค้นของชาวจีนในช่วงปี  พ.ศ. 500 มีการประดิษฐ์ลูกคิด (Abacus) ขึ้นมาช่วยในการคิดเลขจึงถือได้ว่าเครื่องคิดเลขนี้เป็นต้นกำเนิดของเครื่องคิดเลขในยุคต่อมา
ในปี พ.ศ. 2185 แบลส์ พาสคัล (Blaise Pascal) นักวิทยาศาสตร์และปรัชญาชาวฝรั่งเศส ได้ประดิษฐ์เครื่องคิดเลขขึ้นมาใช้งาน เครื่องมือที่เขาสร้างขึ้นใช้ในการคำนวณ สามารถใช้บวกและลบค่าตัวเลขได้อย่างถูกต้อง 

                       ปี พ.ศ. 2376 ชาร์ล แบบเบจ ได้สร้างเครื่องคำนวณที่ทำงานโดยอาศัยโปรแกรมเป็นเครื่องแรกของโลก เราให้เกียรติยกย่องว่าเขาเป็นบิดาแห่งคอมพิวเตอร์เนื่องจากเครื่องที่เขาสร้างขึ้นเป็นต้นแบบหรือแนวทางที่นำไปสู่การพัฒนาของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันในปัจจุบัน
(ก)ลูกคิดเพื่อคิดเลขของชาวจีน
                                                                                                                                                                         
(ข) เครื่องคำนวณของพาสคัล

              ปี พ.ศ. 2489 คณะนักวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกาทีมงานหนึ่งได้พัฒนาและสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลกมีชื่อเรียกว่า อินิแอ็ก ( ENIAC)  เพื่อใช้ในการคำนวณวิถีกระสุนปืนใหญ่ที่ใช้ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มีความสามารถคำนวณสมการที่สลับซับซ้อนได้รวดเร็วและถูกต้อง  ใช้ทำงานทดแทนกำลังคนได้หลายร้อยเท่า  ต่อจากนั้น  เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้ดีมากยิ่งขึ้น  มีการพัฒนาจากระบบใหญ่  จนสามารถพัฒนาเป็นระบบเล็ก  หรือที่เราเรียกว่า  คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล  ( Personal  Computer  หรือ  PC ) มีความสามารถในการทำงานไม่ด้อยกว่าเครื่องขนาดใหญ่  โดยเราสามารถพบเห็นการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้มาใช้งานทั่วไป  เช่น  ในสำนักงานห้างร้านต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการใช้งานที่บ้าน  ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบัน  ช่วยให้เราสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พีซีที่ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์พิเศษต่อผ่านสายสัญญาณโทรศัพท์  เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใดก็ได้  สามารถใช้ระบบอินเทอร์เน็ตสืบค้นข้อมูล  พูดคุยกับเพื่อนชาวต่างประเทศหรือภายในประเทศ  แลกเปลี่ยนข้อมูลรวมถึงการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์  ติดตามเหตุการณ์   ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้รวดเร็วขึ้น





2. ความหมายของคอมพิวเตอร์
    คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานด้วยคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมต่าง ๆ สามารถเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้หลายแบบ รวมทั้งเครือข่ายอินเตอร์เน็ตด้วยลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์คือมีศักยภาพสูงในการคำนวณประมวลผลข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเลข รูปภาพ  ตัวอักษร และเสียง ทำให้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานได้อย่างกว้างขวาง

3.  ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
   คอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานได้ครบถ้วนอย่างมีประสิทธิภาพต้องมีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
          คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ หมายถึง ส่วนที่ประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์รวมอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ที่เราสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ เช่น ตัวเครื่อง จอภาพ คีย์บอร์ด และเมาท์  เป็นต้น 

               จำแนกหน้าที่ของฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ สามารถแบ่งออกเป็นส่วนสำคัญ  5  ส่วน คือ
1.  หน่วยรับข้อมูลเข้า(Input Unit) เป็นวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่นำมาเชื่อมต่อทำหน้าที่ป้อนสัญญาณเข้าสู่ระบบเพื่อกำหนดให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามความต้องการทั้งวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวข้อง เช่น แป้นอักขระ (keyboard) เมาส์(mouse) ซีดีรอม(CD-Rom)  ไมโครโฟน(Microphone) ฯลฯ
2. หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคำนวณทั้งทางตรรกะและคณิตศาสตร์ รวมทั้งการประมวลข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ
3. หน่วยความจำ (Memory Unit) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่งที่ส่งมาจากหน่วยรับข้อมูล เพื่อเตรียมส่งไปประมวลผลยังหน่วยประมวลผลกลาง และเก็บผลลัพธ์ที่ได้มาจากการประมวลผลแล้ว เพื่อเตรียมส่งไปยังหน่วยแสดงผล
4. หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ทำการประมวลหรือผ่านการคำนวณแล้ว
5.อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ (Peripheral Equipment) เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น เช่น โมเด็ม แผงวงจรเชื่อมต่อ เครือข่าย   เป็นต้น

4.  ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
              ประโยชน์ที่เราได้รับจากการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งาน  สามารถแบ่งได้ดังนี้
1.   มีความเร็วในการทำงานสูง เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในปัจจุบันสามารถประมวลผลคำสั่งในช่วงเวลา 1 วินาทีได้มากกว่าหนึ่งร้อยล้านคำสั่งจึงใช้ในงานคำนวณต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การฝากถอนเงินจากตู้เอทีเอ็ม เป็นต้น
2.    มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง สามารถทำงานได้ตลอด 24  ชั่วโมง  เป็นสัปดาห์  หรือเป็นปี  โอกาสเครื่องเสียน้อยมาก ใช้แทนกำลังคนได้มากมาย
3.    มีความถูกต้องแม่นยำตามโปรแกรมที่สั่งงานและข้อมูลที่ใช้
4.     เก็บข้อมูลได้มาก ไม่ต้องใช้เอกสารและตู้เก็บ
5.   สามารถโอนย้ายข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่งโดยผ่านระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน

5. ระบบคอมพิวเตอร์
     ระบบคอมพิวเตอร์  หมายถึง  กรรมวิธีที่คอมพิวเตอร์ทำการใด ๆ กับข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้ใช้มากที่สุด เช่น การตรวจสอบข้อมูลประชาชนจากระบบทะเบียนราษฎร์ ของสำนักทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ระบบเวชระเบียนของโรงพยาบาล ระบบเสียภาษี ระบบทะเบียนการค้า ระบบทะเบียนประวัติอาชญากรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฯลฯ ถ้าต้องการทราบข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ สามารถตรวจสอบได้โดยการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้

6. องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
    ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน ดังนี้
1.   ฮาร์ดแวร์ (hardware) หรือส่วนเครื่อง
2.   ซอฟต์แวร์ (software) หรือส่วนชุดคำสั่ง
3.   ข้อมูล (data)
4.   บุคลากร (people)
                                                                                                                                      

แสดงองค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์

ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (hardware) หมายถึง ตัวเครื่องละอุปกรณ์ส่วนต่างๆ ที่สามารถสัมผัสและจับต้องได้ ฮาร์ดแวร์จะประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 4 ส่วน ดังนี้คือ
1.            ส่วนประมวลผล ( processor)
2.            ส่วนความจำ (memory)
3.            อุปกรณ์รับเข้าและส่งออก (input-output devices)
4.            อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล (storage devices)

      หน่วยประมวลผลกลาง
 หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit ) หรือเรียกคำย่อว่า (CPU) คำว่า ซีพียู มีความหมายทางด้านฮาร์ดแวร์ 2 อย่างด้วยกัน คือ
1.   ตัวชิป (chip) ที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
2.   ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์หรือกล่องเครื่องที่มีซีพียูบรรจุอยู่

ความหมายส่วนที่ 2 ถ้ามองทางด้านเทคนิคแล้วจะเป็นความหมายที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากตัวซีพียูเป็นตัวชิปคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เหมือนส่วนสมองของระบบคอมพิวเตอร์
   

                                                                                        
  ภาพที่ 3.6 แสดงลักษณะของซีพียูที่ใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
      
        ซีพียูมีหน้าที่หลัก ในการควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ประมวลผล  และเปรียบเทียบข้อมูล โดยทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลดิบ  ให้เป็นสารสนเทศที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้  ความสามารถของซีพียูนั้นพิจารณาความเร็วของการทำงาน การับส่งข้อมูล การอ่านและเขียนข้อมูลในหน่วยความจำ  ความเร็วของซีพียูขึ้นอยู่กับตัวให้จังหวะที่เรียกว่า  สัญญาณนาฬิกา  เป็นความเร็วของจำนวนรอบสัญญาณใน  1  วินาที มีหน่วยเป็นเฮิรตซ์  (hertz)  ความสามารถของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้งานในปัจจุบันจะใช้ซีพียูรุ่นเพนเทียมทรี (pentium III) หรือสูงเกินโดยมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาสูงถึง  1  จิกะเฮิรตซ์ (1 GHz)  คือสัญญาณที่มีความเร็ว  1  ล้านรอบใน 1 วินาที  และมีแนวโน้มที่สามารถพัฒนาให้มีความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ




         ภาพแสดงจำนวนรอบสัญญาณใน 1 วินาที มีหน่วยเป็นเฮิรตซ์ (hertz)

   หน่วยความจำ
         เราสามารถแยกประเภทของหน่วยความจำ  (memory)  ได้ดังนี้
            1.  หน่วยความจำหลัก
           2.   หน่วยความจำสำรอง
           3.   หน่วยเก็บข้อมูล

           1. หน่วยความจำหลัก (Main memory) คือ หน่วยเก็บข้อมูลและคำสั่งต่างๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยชุดความจำข้อมูลที่สามารถบอกตำแหน่งที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่ง ข้อมูลจะถูกนำไปเก็บไว้และสามารถถูกนำออกมาใช้ในการประมวลผลในภายหลัง โดยซีพียูทำหน้าที่ในการนำข้อมูลเข้าและนำออกจากหน่วยความจำ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง การทำงานของคอมพิวเตอร์นั้นต้องใช้พื้นที่ของหน่วยความจำในการทำงานประมวลผลและเก็บข้อมูล ขนาดความจุของหน่วยความจำสามารถคำนวณได้จากค่าจำนวนพื้นที่ที่สามารถใช้ในการเก็บข้อมูล จำนวนพื้นที่คือจำนวนข้อมูลและขนาดของโปรแกรมที่สามารถเก็บได้สูงสุดในขณะทำงานถ้าพื้นที่ของหน่วยความจำมีมากจะช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วมากยิ่งขึ้นด้วย


         หน่วยความจำหลักแบ่งได้ 2 ประเภทคือ
        1.1  หน่วยความจำแบบ แรม” (RAM = Random Access Memory)
        1.2  หน่วยความจำแบบ รอม” (Read Only Memory)

        1.1 หน่วยความจำแบบ แรม” (RAM = Random Access Memory) หน่วยความจำแรมเป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูล ข้อมูลหรือแฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ชั่วคราวขณะทำงาน ข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำจะอยู่ได้นานจนกว่าจะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์หรือไม่มีกระแสไฟฟ้าป้อนส่งให้กับเครื่อง เมื่อปิดเครื่องหรือไฟฟ้าดับข้อมูลที่ถูกเก็บไว้จะถูกลบหายไป เราเรียกว่าหน่วยความจำประเภทนี้ว่า หน่วยความจำแบบลบเลือนได้ (volatile memory)
   ภาพแสดงลักษณะของหน่วยความจำ แรม  ที่ใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
         
          1.2 หน่วยความจำแบบ รอม(ROM = Read Only Memory) เป็นหน่วยความจำที่ใช้ในการเก็บโปรแกรมหรือข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์  ข้อมูลที่ถาวรไม่ขึ้นกับไฟฟ้าที่ป้อนให้กับวงจร  ยอมให้ซีพียูอ่านข้อมูลหรือโปรแกรมไปใช้งานอย่างเดียว ไม่สามารถเขียนข้อมูลลงไปเก็บไว้ได้โดยง่าย  ต้องใช้เทคนิคพิเศษช่วย  ส่วนใหญ่ใช้ในการเก็บโปรแกรมควบคุม เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า  หน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน (Nonvolatile memory)
      2. หน่วยความจำสำรอง (Secondary storage)  หน่วยความจำชนิดนี้มีไว้สำหรับสำรองหรือทำงานกับข้อมูลและโปรแกรมขนาดใหญ่เนื่องจากขนาดของหน่วยความจำหลักมีจำกัด หน่วยความจำสำรองสามารถเก็บไว้ได้หลายแบบ  เช่น  แผ่นบันทึก (Floppy disk) จานบันทึกแบบแข็ง (Hard disk)    แผ่นซีดีรอม  (CD-ROM)  และจานแสงแม่เหล็ก  เป็นต้น

 จานบันทึกข้อมูล
     ตัวจานบันทึกข้อมูลแบบแข็ง  (Hard disk)    ประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็กตั้งแต่หนึ่งแผ่นจนถึงหลายแผ่น และเครื่องขับจาน (Hard Disk Drive)   เป็นส่วนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์  มีมอเตอร์ทำหน้าที่หมุนแผ่นจานแม่เหล็กด้วยความเร็วสูง มีหัวแม่เหล็กทำหน้าที่อ่านและเขียนข้อมูลต่างๆ ลงบนผิวของแผ่นดังกล่าวตามคำสั่งของโปรแกรมหรือผู้ปฏิบัติงานต้องการโดยหัวอ่านและเขียนไม่ได้สัมผัสแผ่นโดยตรงแต่เคลื่อนที่ผ่านแผ่นไปเท่านั้นส่วนการบันทึกข้อมูลได้จำนวนมากเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับเครื่องและรุ่นที่ใช้ปัจจุบันสามารถเก็บข้อมูลได้ตั้งแต่ขนาด 500 เมกะไบต์ (Megabyte)  จนถึง  80  กิกะไบต์  (Gigabyte)   หรือมากกว่า
               ภาพแสดงจานบันทึกข้อมูลแบบแข็ง (Hard Disk)

แผ่นบันทึกหรือฟลอปปี้ดิสก์
             แผ่นบันทึกข้อมูล  (floppy disk)  เป็นหน่วยความจำรอง ตัวแผ่นทำด้วยพลาสติกชนิดอ่อน  มาตรฐานที่นิยมใช้ในขนาดนี้จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง  3.5  นิ้ว  ความจุข้อมูล 1.44 เมกะไบต์  บรรจุในซองพลาสติกแข็งเพื่อป้องกันกับแผ่นบันทึกไม่ให้เสียหายง่าย  ใช้เป็นสื่อในการถ่ายโอนหรือสำเนาแฟ้มข้อมูล  นอกจากนี้ยังมีแผ่นบันทึกชนิดพิเศษสามารถเก็บข้อมูลเป็นจำนวนมากถึง  200  เมกะไบต์หรือมากกว่านั้น  เช่น  ซิปดิสก์ (Zip disk)  แจ๊ซดิสก์ (Jaz disk) เป็นต้น
                    
               ภาพแสดง  แผ่นบันทึกข้อมูลชนิดพิเศษ และหน่วยขับแผ่นบันทึก

ซีดีรอม
           ซีดี  ย่อมาจากคอมแพกดิสก์  และรอมเป็นคำเดียวกับหน่วยความจำแบบรอมคือคำว่า Read Only Memory  แผ่นซีดีรอม  (CD-ROM) หรือ  แผ่นซีดี  เป็นแผ่นบันทึกข้อมูลที่ให้เครื่องคอมพิวเตอร์อ่านข้อมูลที่บันทึกไว้ออกมาใช้  ไม่สามารถบันทึกข้อมูลลงไปได้   ใช้อ่านอย่างเดียว ลักษณะคล้ายแผ่นซีดีเพลง  ใช้ระบบเสียงเลเซอร์ในการอ่านข้อมูลที่เก็บเป็นได้ทั้งตัวอักษร ตัวเลข  เสียง  และภาพก็ได้   มีความจุประมาณ  650  เมกะไบต์  หรือมีความจุมากกว่าแผ่นเก็บข้อมูลประมาณ  450  เท่า  หรือสามารถเก็บข้อมูลจากหนังสือประมาณ  500  เล่ม                                                                                                                                                                                                                                                                 

ภาพแสดง  แผ่นซีดีรอม 1 แผ่น สามารถเก็บข้อมูลเท่ากับหนังสือ 500 เล่ม หรือมีความจุเท่าแผ่นบันทึก 450 แผ่น

ดีวีดี
      ดีวีดี  (DVD  หรือ  Digital  Versatile  Disk) เป็นแผ่นซีดีที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด โดยแผ่นดีวีดีสามารถเก็บข้อมูลได้ไม่ต่ำกว่า 4.7 จิกะไบต์ คาดหมายว่าแผ่นดีวีดีจะถูกนำมาใช้แทนซีดี-รอม  เลเชอร์ดิสก์   หรือแม้แต่วิดีโอเทป



                                      ภาพแสดง อุปกรณ์เก็บข้อมูลชนิด DVD-ROM

จอภาพ
       จอภาพ (monitor) เป็นอุปกรณ์แสดงข้อมูลผลลัพธ์ที่เกิดจากการประมวลผลจากเครื่องคอมพิวเตอร์  สามารถแสดงผลได้ทั้งตัวหนังสือ  ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว  โดยทั่วไปนิยมใช้แบบจอภาพสี  สามารถแสดงระดับความแตกต่างของสีตั้งแต่ 16,256,65,536 และ 16,177,216 สีความละเอียดของจุดภาพที่เรียกว่าพิกเซล (pixel) ในการแสดงผลที่ปรากฏบนหน้าจอภาพขึ้นอยู่กับขนาดแมทริกซ์ของการแสดง  เช่น 640 x 480800 x 6001024 x 768 และ  1280 x 1024  จุด                                               

                               ภาพแสดงจอภาพแบบต่างๆ

แผงแป้นอักขระ
      แผงแป้นอักขระหรือแป้นพิมพ์ (keyboard) เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญของเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถรับเข้าข้อมูลจากการกดแป้นพิมพ์เพื่อส่งต่อไปให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ที่นิยมใช้จะมี  101  แป้น  และแยกแป้นอักขระและตัวเลขออกจากกัน  ส่วนบนจะเป็นแป้นคำสั่งพิเศษเพื่อให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น




                                  ภาพแสดงแป้นพิมพ์

เมาส์
        เมาส์  (mouse)  เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายตัวหนู  ส่วนของสายสัญญาณจากตัวอุปกรณ์ที่ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์มีลักษณะคล้ายส่วนหางหนู เราใช้เมาส์ในการควบคุมตัวชี้ (Pointer) ที่ปรากฏบนจอภาพให้สามารถเลื่อนไปสู่ตำแหน่งต่างๆ  ที่ต้องการได้โดยง่ายสามารถใช้ร่วมกับโปรแกรมในการควบคุมคำสั่งก็ได้  จะมีปุ่มควบคุม  2  ปุ่ม ด้วยกันโดยทำหน้าที่แตกต่างกันดังนี้
             1.  ปุ่มซ้ายมือถ้ากดหนึ่งครั้งหมายถึงการเลือกและถ้ากดสองครั้งติดต่อกันหมายถึงสั่งให้โปรแกรมหรือสั่งรูปที่เลือกทำงาน
             2.   ปุ่มขวามือถ้ากดให้แสดงฟังก์ชันพิเศษโดยใช้ตัวชี้เป็นตัวเลือกฟังก์ชันที่ต้องการได้                                


                               ภาพแสดง เมาส์       

           ในปัจจุบันมีการพัฒนาเมาส์ให้มีรูปร่างสวยงามและกะทัดรัดต่อการใช้งาน  บางรุ่นอาจมีลูกกลมควบคุม  (track ball)  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานได้ด้วย
            หมายเหตุ ปัจจุบันเมาส์ได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงทันสมัย  ใช้งานง่ายและสะดวกเพราะบางรุ่นไม่ต้องใช้ลูกกลิ้ง  และมีจำนวนปุ่มเมาส์มากถึง 4 ปุ่ม ทั้งยังติดตั้งปุ่มควบคุม Scroll สำหรับการเลื่อนเอกสารขึ้นลงโดยไม่ต้องเคลื่อนเมาส์ และด้วยเทคโนโลยีใหม่กับการส่งสัญญาณด้วยแสง ทำให้สามารถเคลื่อนเมาส์ได้รวดเร็วบนพื้นผิวทุกประเภท

บุคลากร (people)
             บุคลากรคอมพิวเตอร์ (People ware) หมายถึงกลุ่มบุคคลที่ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และโปรแกรม  เช่น  นักเขียนโปรแกรม  (Programmer) เป็นผู้นำทำหน้าที่ออกแบบและพัฒนาโปรแกรม  นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) เป็นผู้วิเคราะห์ปัญหาและระบบงานที่มีอยู่แล้วเพื่อแก้ปัญหาและออกแบบระบบใหม่ให้ดีกว่าเดิม ผู้บริหารระบบ (System Administrator)  เป็นผู้ควบคุมจัดการระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ คนเหล่านี้เชี่ยวชาญด้านระบบงานคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ  จึงจำเป็นต้องมีไว้เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปที่อาจไม่มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์เลย ให้พวกเขาสามารถใช้บริการระบบสารสนเทศได้อย่างสะดวก และยังเป็นการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่รู้ของผู้ใช้ได้
             บุคลากรคอมพิวเตอร์  ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์เพราะแต่เดิมนั้น  คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่ใช้ยาก  บุคลากรที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์จะต้องมีความรู้ในระดับผู้ชำนาญการที่เดียว แต่ในปัจจุบัน  การใช้งานคอมพิวเตอร์มีหลายระดับ  ในระดับพื้นฐานนั้นการใช้งานจะง่ายมาก เพราะทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สมัยใหม่ได้รับการออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งาน เรียกว่า  “ เป็นมิตรต่อผู้ใช้ ” ( User friendly ) ผู้ใช้งานในระดับนี้  เมื่อได้รับการฝึกหัดเพียงเล็กน้อยก็สามารถเริ่มใช้ได้ทันที อย่างไรก็ตาม ระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน  มักมีการต่อเชื่อมกับเครือข่าย ซึ่งส่วนนี้ยังมีความยุ่งยากพอสมควรนอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่อง  ไวรัสคอมพิวเตอร์  ซึ่งเป็นโปรแกรมชนิดหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์  ไวรัสคอมพิวเตอร์เกิดจากผู้ไม่ประสงค์ดี  หรือ  นักศึกษาที่หลงผิด ( ร้อนวิชาและอยากทดลองใช้วิชาในทางที่ผิด )  ผลิตขึ้นมาโดยมีเจตนาทำให้เกิดความเสียหายแก่ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงยังมีความจำเป็นต้องใช้บุคลากรคอมพิวเตอร์ที่มีความเชี่ยวชาญมาดูแลระบบคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมาก และมีการเชื่อมต่อกับเครือข่าย
บุคลากรคอมพิวเตอร์ที่สำคัญ   ได้แก่
           -   ผู้ดูแลระบบ  (System Administrator)
           -   นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)
          -   นักเขียนโปรแกรม  (Programmer)
          -  วิศวกรระบบ  (System Engineer)
           -  วิศวกรเครือข่าย  (Network Engineer)
          -  ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระดับสูง  (Super User)
           -  ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป  (User)

ผู้ดูแลระบบ (System Administrator)
           ผู้ดูแลระบบ  หรือ  แอดมิน (อังกฤษ: System administrator, systems administrator หรือ sysadmin) เป็น บุคคลที่ถูกว่าจ้างเพื่อที่จะดูและจัดการระบบหรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หน้าที่ของผู้ดูแลระบบมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับหน่วยงานหรือโครงการ โดยทั่วไปผู้ดูแลมักจะทำหน้าที่ติดตั้ง  ตอบคำถาม  ดูแลเซิร์ฟเวอร์  หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่น  รวมถึงการวางแผนงาน การดูแล ควบคุมโครงการที่เกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ผู้ดูแลอาจมีหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์ร่วมไปด้วย ในด้านการเขียนโปรแกรม รวมไปถึงการเตรียมตัว และสอนการใช้งานต่อผู้ใช้ทั่วไป

นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)
            บุคลากรด้านการวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน  จะมีหน้าที่วิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้รวมไปถึงผู้บริหารของหน่วยงานนั้น ๆ  ด้วยว่าต้องการระบบโปรแกรมหรือลักษณะงานแบบไหน  อย่างไร  เพื่อจะพัฒนาระบบงานให้ตรงตามความต้องการมากที่สุด  หน้าที่ดังกล่าวอาจรวมถึงการออกแบบกระบวนการทำงานของระบบโปรแกรมต่าง ๆ  ทั้งหมดด้วย ซึ่งมักจะใกล้ชิดกับผู้ใช้งานมากที่สุดเนื่องจากต้องคอยสอบถามความต้องการเพื่อวิเคราะห์งานอยู่เสมอ

นักเขียนโปรแกรม (Programmer)
       เมื่อนักวิเคราะห์ระบบทำการวิเคราะห์ระบบงานเสร็จสิ้น ก็จะส่งต่อมายังผู้ที่ชำนาญในเรื่องของการเขียนโปรแกรมโดยเฉพาะเพื่อสร้างระบบงานนั้นให้ออกมาใช้งานได้จริง ๆ เราเรียกบุคคลกลุ่มนี้ว่า  นักเขียนโปรแกรม  หรือ  Programmer  นั่นเอง  โปรแกรมที่มีขนาดเล็กมาก นักเขียนโปรแกรมเพียงคนเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับการเขียนชิ้นงานนั้น  หน่วยงานบางแห่งจึงต้องมีทีมงานจำนวนมาก เพื่อรองรับกับการเขียนโปรแกรมดังกล่าว วิธีการเขียนอาจแบ่งกลุ่มโปรแกรมออกเป็นส่วนย่อย ๆ ที่เรียกว่าโมดูล (module) แล้วกระจายงานออกไปให้กับแต่ละคน จากนั้นจึงจะนำเอาโมดูลที่ได้กลับมารวมกันเป็นโปรแกรมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง   ซึ่งช่วยลดเวลาในการเขียนโปรแกรมลงไปได้มาก

วิศวกรระบบ (System Engineer)
           คือ  บุคลากรที่ทำหน้าที่ออกแบบ  สร้าง  ซ่อมบำรุงและดูแลรักษาฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ  ต้องมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของฮาร์ดแวร์  หลักการทำงานของฮาร์ดแวร์  สามารถออกแบบฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ได้  มีความรู้ระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่าในสาขาอิเล็กทรอนิกส์  วิศวกรรมคอมพิวเตอร์  เป็นต้น

วิศวกรเครือข่าย (Network Engineer)
            เป็นผู้ออกแบบและดูแลระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ CNE (Computer Network Engineering)  กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน  เพราะการทำงานบนคอมพิวเตอร์กำลังเปลี่ยนรูปแบบไปเป็น   การทำงานบนเครือข่าย  แทนการทำงาน  บนเครื่องเดียว  (Standalone computer) CNE  ทำงานในบริษัทด้าน  ออกแบบเครือข่ายศูนย์คอมพิวเตอร์ของธนาคาร  และบริษัทด้านอินเตอร์เน็ต  และมหาวิทยาลัยต่างๆ   เป็นต้น

ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระดับสูง (Super User)
            หมายถึง  ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ที่สามารถประยุกต์โปรแกรมเพื่อสร้างผลงานต่าง ๆ ตารมต้องการ เช่น การสร้างต้นฉบับสื่อสิ่งพิมพ์ ด้วยโปรแกรม Adobe Pagemaker , Adobe InDesign การสร้างสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยโปรแกรม  Authorware หรือ Captivate การออกแบบบ้านหรือ เครื่องยนต์กลไกลด้วยโปรแกรม CAD - Computer Aided Drafting/Design  การสร้างสื่อในระบบเครือข่ายด้วยโปรแกรม  LMS  (Learning Management System)  การคำนวณค่าสถิติด้วยโปรแกรม SPSS เป็นต้น

ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป (User)

              หมายถึง ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป  สามารถทำงานตามหน้าที่ในหน่วยงานนั้นๆ  เช่น การพิมพ์งาน  การป้อนข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์  การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์  เป็นต้น  ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านเทคนิคต่าง ๆ  ของคอมพิวเตอร์ก็ได้





1 ความคิดเห็น: